
มัมมี่ ของชาวอียิปต์เกี่ยวกับวิญญาณของคนตายศพของคนตายจึงมักจะทำพิธีการเก็บศพไว้เป็นอย่างดีและให้คงสภาพเดิมไว้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ วิธีที่จะทำให้ศพเก็บไว้ได้นานๆ ก็คือหาทางป้องกันไม่ให้ศพเน่าเปื่อย
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของการทำศพ มัมมี่ โดยการนำศพไปอาบด้วยน้ำยากันเน่าเปื่อย และที่สำคัญก็คือชาวอียิปต์โบราณหลายกลุ่มยังเชื่อว่าการทำศพมัมมี่นั้นจะต้องล้วงหรือดึงเอาเครื่องใน ตับไตไส้พุงออกมาทางช่องทวารหนักและดูดเอาสมองออกมาทางรูจมูก
ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้รูปร่างของศพอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเปื่อว่าวิญญาณอาจจะกลับมาเกิดใหม่ได้ทันที หลังจากนั้นก็นำศพไปแช่ไว้ในน้ำเค็มที่ผสมสารเคมีบางอย่างไว้เป็นเวลาถึง 1 เดือน และตามรูต่างๆ เช่น ทางรูทวารหนัก รูจมูก จะต้องอุดด้วยผงไม้บดอย่างละเอียด ผสมน้ำหอมดอกไม้จากนั้นก็นำศพไปห่อด้วยผ้าขาวสะอาด
ซึ่งจัดเตรียมไว้โดยรอบและผนึกด้วยกาวอย่างมิดชิด แล้วนำไปวางไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินขนาดใหญ่และเพื่อให้วิญญาณของผู้ตายได้ใช้ชีวิตในโลกแห่งวิญญาณอย่างเพียบพร้อมได้ด้วยความสมบูรณ์พูนสุขบรรดาญาติมิตรและบริวารของผู้ตายมักจะใส่สิ่งของต่างๆ ลงไปในโลงศพด้วย อาทิ เครื่องประดับ
อันมีค่าสูงเช่นเพชรนิลจินดา กำไลคอ กำไลแขน และกำไลขา นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ส่วนตัว อาวุธป้องกันตัว ตลอดจนเมล็ดพืชเมล็ดข้าวและอาหารแห้งต่างๆ เป็นต้น
“ตามปกติแล้วพิธีการทำมัมมี่นั้นในระยะแรกเป็นพิธีที่ใช้เฉพาะฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์เท่านั้น”
ครั้นถึงยุคศาสนาของอียิปต์เสื่อมลง บรรดาขุนนางที่มีตำแหน่งมียศถาบรรดาศักดิ์สูงๆ ก็มีการเลียนแบบการทำศพมัมมี่ขึ้นและในที่สุดก็กลายเป็นประเพณีที่นิยมแก่บุคคลธรรมดาที่มีฐานะร่ำรวยโดยทั่วไป แม้แต่สัตว์บางชนิดที่ตายแล้วก็ยังนิยมทำเป็นศพมัมมี่อีกด้วย
ความเชื่อถือในเรื่องเทพเจ้า
ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อว่าเทพเจ้าหรือภูติผีปีศาจที่สถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ในห้วงแห่งจักรวาล ทั้งบนพื้นโลกและภายนอกโลกตลอดจนในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นย่อมมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์สามารรถดลบันดาลให้เกิดความเป็นไปในสิ่งต่างๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตบนพื้นโลก
เช่น มนุษย์ พืช สัตว์ หรือสิ่งที่มีชีวิต เช่น ดิน หิน น้ำ และแร่ธาตุต่างๆ ตลอดจนกระทั่งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า การเกิดพายุ การเกิดน้ำท่วม และแผ่นดินไหว เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เกิดจากแรงบันดาลของเทพเจ้าหรือภูติผีปีศาจแทบทั้งสิ้น
ด้วยความเกรงกลัวในฤทธิ์เดชบารมีดังกล่าว ชาวอียิปต์โบราณจึงเชื่อกันว่าเทพเจ้าและภูติผีปีศาจเหล้านั้นมีความศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ควรแก่การเคาระบูชา จึงได้สร้างสมมุติเทพต่างๆ ขึ้น นอกจากนั้นยังได้ยกย่องสัตว์บางชนิดเช่น งู สิงโต วัว นกอินทรีย์ เหยี่ยว และหมาจิ้งจอก เป็นต้น เป็นรูปสัญลักษณ์แทนเทพเจ้าอีกด้วย และได้สร้างนิยายปรับปราเกี่ยวกับเทพเจ้าแต่ละองค์สืบมาจนถึงบัดนี้
เทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณ
เดิมทีเดียวนั้นเทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณมักจะมีรูปร่างเป็นสัตว์ทั้งตัว ต่อมาก็วิวัฒนาการเปลี่ยนไปในลักษณะแบบครึ่งคนครึ่งสัตว์ คือมีส่วนหัวจำลองเป็นแบบรูปสัตว์และมีร่างกายเป็นมนุษย์
เทพเจ้าของชาวอียิปต์โบราณที่สำคัญมีดังนี้
เร (Re) สุริยเทพ ถือว่าเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความสำคัญสูงสุดได้รับการยกย่องและเคาระบูชามากที่สุดในยุคอาณาจักรเก่าของอียิปต์โบราณชื่อของฟาโรห์ผู้ครองอียิปต์ ในสมัยนั้นมักจะตั้งขึ้นตามความหมายเกี่ยวกับเทพเจ้าองค์นี้แทบทั้งสิ้นเช่น ชื่อฟาโรห์ คาเฟร (ชีเฟรน) กษัตริย์อียิปต์มีความหมายที่แสดงถึง “สุริยเทพผู้ประทานความรุ่งโรจน์แก่พระองค์”
ชื่อขของฟาโรห์ เมนคอเร (ไมยเซรินุส) หมายถึง “ความอดทนเป็นคำสรรเสริญของสุริยเทพ”
เทพเจ้าองค์อื่นๆ ที่มีชื่อของเทพเจ้าองค์นี้ต่อท้ายคือ โซเบ็ค-เร และอมัน-เร
โวเบ็ค-เร เดิมคำว่า โซเบ็ค หมายถึงเทพเจ้าที่มีรูปร่างเป็นจระเข้ได้รับการเคาระบูชามากในแถบเมือง ฟาอิยุม ของอียิปต์ตอนล่างใกล้ๆ ทะเลสาบจระเข้ ต่อมาเมื่อเข้าเป็นบริวารของสุริยเทพแล้วจึงได้รับการยกย่องว่าเป็น โซเบ็ค-เร กลายเป็นแทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประจำสรรวงสวรรค์มีดวงตาวิเศษฉายแสงสว่างได้ถึง 2 แบบ คือตาขวาใช้ฉายแสงในเวลากลางวัน และตาข้างซ้ายฉายแสงสว่างในเวลากลางคืนและดวงตาทั้งสองสามฉายแสงได้พร้อมกันในเวลามืด
อมัน-เร เป็นเทพเจ้าที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นราชาแห่งเทพเจ้าทั้งปวงในสมัยยุคอาณาจักรใหม่ของอียิปต์โบราณจากนิทานปรัมปราของชาวอียิปต์ เล่าว่า เดิมทีนั้น อมัน หมายถึงเทพเจ้าประจำท้องถิ่นอียิปต์ตอนกลาง พอเข้าเป็นบริวารของสุรยเทพ จึงกลายเป็นราชาแห่งเทพเจ้าทันที เป็นเทพเจ้าของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เป็นผู้บันดาลขุนเขาต่างๆ ขึ้นบนพื้นโลก เป็นต้น
ซิริส คือเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพบูชาสูงสุดอีกองค์หนึ่งของชาวอียิปต์ทุกระดับเป็นเทพเจ้าแห่งแม่น้ำไนล์ที่บันดาลความอุดมสมบูรณ์แก่ชาวอียิปต์โบราณและเป็นราชาแห่งยมโลกซึ่งเป็นผู้พิพากษาตัดสินวิญญาณของคนตายว่าเหมาะสมที่จะไปสู่สวรรค์หรือไม่
ไอซิส เทพธิดาแห่งความซื่อสัตย์ เป็นมเหสีของเทพเจ้าโอซิริสในนิยายแห่งสมมุติเทพ เล่าว่า ไอซิส เป็นผู้ชุบชีวิตโอซิริสพระสวามีขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากถูกเซทเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายฆ่าและสับร่างกายออกเป็นชิ้นๆ จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นมเหสีตัวอย่างที่มีความซื่อสัตย์แก่หญิงชาวอียิปต์ทั้งปวง
ฮาเธอร์ คือราชินีแห่งเทพเจ้าและเทพธิดาทั้งหลาย เดิมมีสัญลักษณ์เป็นรูปวัวตัวเมีย ต่อมาก็เปลี่ยนเป็นรูปมนุษย์ แต่ยังสวมเขาวัวที่รองรับสิ่งที่เป็นเครื่องหมายแทนดวงอาทิตย์บนศีรษะเป็นเทพธิดาพิเศษประจำใจผู้หญิง เป็นผู้บันดาลความสนุกสนานในการร้องรำทำเพลง
โทต คือเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการทั้งปวง มีความฉลาดรอบรู้ และปฏิภาณไหวพริบในเรื่องต่างๆ เป็นอย่างดีเป็นได้ทั้งผู้วิเศษ ในการรักษาโรค เป็นขุนนางผู้ฉลาดปราดเปรื่อง เป็นนักปกครองและนักบริหารที่เก่งกาจ เป็นต้น
อนูบิส เทพเจ้าแห่งวิญญาณหรือเทพเจ้าแห่งพิธีอาบยาศพผู้รักษาศพของคนตายโดยไม่มีเน่าเปื่อยเป็นที่มาแห่งการทำศพมัมมี่นั่นนเอง รูปร่างของเทพเจ้าองค์นี้จะมีศีรษะเป็นรูปหัวสุนัขจิ้งจอก ร่างกายเป็นมนุษย์
มิน เทพเจ้าแห่งความชั่ว หรือเทพเจ้าจอมอันธพาลตามนิทานเกี่ยวกับสมมุติเทพ เป็นผู้ฆ่าโอซิริสซึ่งเป็นพี่ชายของตัวเอง
ฮารัส เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นขุนนางแห่งสวรรค์ เป็นเทพเจ้าแห่งท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลมีหัวเป็นเหยี่ยวป่า และมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นดวงตาทั้งสองข้าง เทพเจ้าฮอรัสเป็นโอรสของโอซิริสและไอริส เคยต่อสู้กับเซท เทพเจ้าแห่งความชั่ว ซึ่งเป็นอาของตนจนต้องเสียตาไปข้างหนึ่งแต่ในที่สุดก็ได้รับชัยชนะ
จากอิทธิพลแห่งความเชื่อถือในเรื่องวิญญาณและเทพเจ้าของชาวอียิปต์นี้เอง จึงกลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาได้สร้างผลงานทางศิลปกรรมไว้เป็นจำนวนมาก ภาพเขียนอันวิจิตรพิสดารที่ปรากฏอยู่ตามผนังของสุสาน วิหารและภายปิรามิดที่สร้างขึ้นในยุคหลังๆ ผลงานทางศิลปกรรมเช่น การแกะสลักไม้และหินตามผนัง ต้นเสาภายในวิหารหรือที่ต่างๆ
นับตั้งแต่ขนาดเล็กจนกระทั่งถึงขนาดใหญ่ที่เจาะลึกเข้าไปในนภูเขา อีกทั้งผลงานทางสถาปัตยกรรมเกี่ยวกับการก่อสร้างวิหารหรือเทวสถานขนาดใหญ่โตมโหฬารนั้น สิ่งดังกล่าวเหล่านี้ล้วนแต่สร้างขึ้นมาตามแนวความเชื่อถือในเรื่องวิญญาณและเทพเจ้า ความเชื่อถือทางศาสนา และขนธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่มีมาแต่โบราณแทบทั้งสิ้น

“อาจกล่าวได้ว่าอียิปต์เป็นดินแดนที่รวมเอาผลงานทางจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ซึ่งบ่งบอกถึงวัฒธรรมอันสูงส่งที่ปรากฏขึ้นในยุคแรกของโลกก็ว่าได้”
นอกจากนี้ทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆ นั้น ปรากฏว่าชาวอียิปต์โบราณมีความสามารถสูงจนเป็นที่ยกย่องไปทั่วโลก เช่น
ความเจริญทางด้านวิศวกรรมชลประทาน รู้จักสร้างทำนบกั้นน้ำ ขุดคูหรือคลองส่งน้ำที่มีรูปแบบเด่นชัดเป็นชาติแรก ก่อให้เกิดความเจริญทางด้านกสิกรรม การค้าขาย การคมนาคมในยุคนั้นเป็นอย่างยิ่ง
ทางด้านคณิตศาสตร์ รู้จักคิดค้นวิธีวัดน้ำขึ้น-ลง ของแม่น้ำไนล์ได้อย่างละเอียด รู้จักรังวัดพื้นที่ดินได้เป็นอย่างดี ก่อให้เกิดวิชาเรขาคณิต ซึ่งทำให้รู้จักการคำนวณหาพื้นที่ วงกลม สี่เหลี่ยมจตุรัส รู้จักคำนวณหาปริมาตรของ
รูปทรงกระบอกและรูปทรงกลม ตลอดจนกระทั่งพบสูตรพื้นที่วงกลม PR? และแทนค่า พาย (Pi) เท่ากับ 3.14 ซึ่งเป็นที่มาของการเรียนคณิตศาสตร์เบื้องต้นในสถาบันการศึกษาของประเทศต่างๆ ทั่วโลกตลอดมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ทางด้านดาราศาสตร์ ชาวอียิปต์เป็นชาติแรกที่บันทึกเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเช่น เรื่องดาวหาง จันทรุปราคา สุริยุปราคา ตลอดจน เรื่องราวของดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งสามารถกำหนดระยะเวลาของโลกโดยกำหนดว่า ปีหนึ่งมี 365 วันซึ่งนับว่าเป็นแบบปฏิทินที่ทั่วโลกใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้
ทางด้านการแพทย์ ชาวอียิปต์โบราณสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นระบบเด่นชัด รู้จักการผ่าตัด ที่ถูกวิธี มีความเชี่ยวชาญทางการศึกษาเกี่ยวกับระบบโลหิตภายในร่างกายของมนุษย์ได้อย่างถูกต้องตามหลักการแพทย์และที่เด่นมากขึ้นก็คือการรักษาโรคตาซึ่งนับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกเลยทีเดียว
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องราวความเป็นมาอียิปต์โบราณสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นระบบเด่นชัด รู้จักการผ่าตัดที่ถูกวิธี มีความเชี่ยวชาญทางการศึกษาเกี่ยวกับระบบโลหิตภายในร่างกายของมนุษย์ได้อย่างถูกต้องตามหลักการแพทย์ และที่เด่นมากก็คือการรักษาโรคตาซึ่งนับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกเลยทีเดียว
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเรื่องราวความเป็นมาอียิปต์โบราณเพียงส่วนหนึ่งโดยสังเขปเท่านั้น ถ้าจะศึกษาค้นคว้ากันอย่างละเอียดลึกซึ้งจริงๆ แล้วก็คงจะลำบากมิใช่น้อย นักประวัติศาสตร์ชาวอียิปต์บางท่านกล่าวว่า “ต่อให้ใช้เวลายาวนานอีกนับหมื่นปีเรื่องราวอันพิสดารเกี่ยวกับอียิปต์ยังศึกษาค้นคว้ากันไม่หมดสิ้น” เท็จจริงอย่างไรขอให้เป็นวินิจฉัยจากท่านผู้อ่านก็แล้วกัน
ปิรามิดแห่งอียิปต์ ปิรามิดแห่งอียิปต์ หมายถึงสิ่งก่อสร้างรูปทรงกรวยเหลี่ยมซึ่งมีฐานเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส และด้านทั้ง 4 เป็นรูปสามเหลี่ยมก่อสร้างด้วยหินปูนขนาดใหญ่ วางเรียงรายซ้อนกันขึ้นไปสูงหลายร้อยปุต
ปิรามิดแห่งอียิปต์ เป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ซึ่งถือกันว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกในสมัยโบราณที่ยังคงอยู่มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ความเร้นลับของปิรามิดยังคงเป็นปริศนาที่ท้าทายนักวิทยาศาสตร์ นักค้นคว้าและนักวิจัยทั่วโลก
- ใครเป็นคนสร้างปิรามิด?
- วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่ออะไร?
- ในการก่อสร้างนั้น ผู้สร้างนำเอาความรู้ในเชิงวิทยาศาสตร์ สถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่ก้าวหน้ามาจากไหน?
- ใช้เครื่องมือตลอดจนเทคโนโลยีแบบใดบ้างที่ก่อสร้างจนสำเร็จ?
- ผู้สร้างใช้เครื่องมือชนิดใดสกัดหินเป็นก้อนขนาดใหญ่ซึ่งมีน้ำหนักตั้งแต่ 2.5 จนกระทั่งไปถึง 70 ตัน?
- และในการขนย้ายหินขนาดต่างๆ นับเป็นจำนวนล้านๆ ก้อนนั้นทำอย่างไร?
จากคำถามตัวอย่างดังกล่าว ยังคงหาคำตอบที่เด่นชัดไม่ได้ ยังขาดการศึกษาและพิจารณา
อย่างฉลาดลึกซึ้ง ยังขาดหลักฐานทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ ธรณีวิทยาและมนุษย์ วิทยาอีกมาก
“ดังนั้นการคค้นหาข้อเท็จจริงของสิ่งดังกล่าวจึงเป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องใช้ความพยายามต่อไปนี้
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานับร้อยๆ ปีนี้ นักโบราณคดีคนหนึ่งกล่าวว่าได้มีการค้นพบสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายกับปิรามิดของอียิปต์อยู่ทั่วไป ผู้ค้นพบส่วนใหญ่มักจะเป็นทหารนักบินที่บินสำรวจเหนือบริเวณภูมิประเทศต่างๆ
โครงสร้างแบบปิรามิดที่ค้นพบในเอเชีย
ในประเทศจีน ได้พบสิ่งก่อสร้างแบบปิรามิดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ในเขตเมือง เชนสีตำแหน่งที่พบอยู่ห่างจากเมือง เซียนฟู ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของจีนโบราณ ค่อนไปทางทิศตะวันตกหลายไมล์ กล่าวกันว่าปิรามิดองค์ใหญ่นั้นเดิมสูงกว่า 1,000ฟุต ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางวงล้อมของกลุ่มปิรามิดเล็กๆ
ภายในรัศมี 1 ไมล์อีกนับจำนวนไม่ถ้วน ปิรามิดทั้งหมดจะวางอยู่ในแนวทิศเหนือใต้ ถูกต้องเหมือนกันหมดทุกประการลักษณะการก่อสร้างส่วนใหญ่สร้าง จากส่วนผสมของหินปูนกับดินเหนียวที่แข็งตัวในลักษณะคล้ายกับซีเมนต์ แต่ละด้านฉาบด้วยหินบดละเอียด และทาสีต่างๆ ทับอีกชั้นหนึ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลจากแหล่ง : Google
สามารถติดตาม เรื่องราวได้ ที่นี่
สื่อที่สนับสนุน